วิกฤต โรคอ้วน ภัยอันตราย ตอนที่1

อะไรก็ตามที่น้อยเกินไปก็ไม่ดี ในขณะที่มากเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน ทุกอย่างต้องอยู่ในความพอดีจึงจะดีที่สุด นี่คือ “กฎแห่งความสมดุลทางธรรมชาติ” ซึ่งเมื่อลอง มองย้อนมาที่เรื่องของอาหารการกินของคนยุคปัจจุบัน นี้จะเห็นว่าได้ว่าประชากรส่วนใหญ่ของโลกล้วนอยู่ใน สภาพกินดีอยู่ดี ซึ่งอาจจะดีเกินด้วยซ้ำ นั่นจึงเป็น ที่มาของโรคชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “โรคอ้วน”
ไม่นานมานี้มีนักวิจัยจากองค์การอนามัยโลก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในสหรัฐฯ และมหาวิทยาลัย อิมพีเรียล คอลเลจลอนดอนของอังกฤษจำนวนหนึ่ง ได้ ร่วมกันเปิดเผยความจริงที่น่ากลัวที่พวกเขาพบในงานวิจัยที่ได้รวบรวมข้อมูลเพื่อศึกษา และหาข้อสรุปปัญหา การมีน้ำหนักเกินและการเป็นโรคอ้วนของประชากรโลก โดยได้เปิดเผยลงในวารสารการแพทย์แลนเซ็ตเอาไว้ว่า “ในขณะนี้ โรคอ้วน ได้ชัดกระหน่ำประชากรของโลกนี้ เปรียบเสมอคลื่นยักษ์สึนามิ ก็ไม่ปาน โดยมีการเก็บตัวเลข ของผู้เป็นโรคอ้วนตั้งแต่ปีพ.ศ. 2523 เป็นต้นมา พบว่าประชากรคนอ้วนเพิ่มสูงเป็นเท่าตัว ซึ่งนั่นก็มากกว่า 500 ล้านคนทีเดียว
งานวิจัยดังกล่าวนั้นมีการจดบันทึกมาถึงปีพ.ศ. 2551 ซึ่งปีสุดท้ายนี้ ทำให้เห็นว่าสถานการณ์ของโรคอ้วนนั้นยังคงจมดิ่งไปเรื่อยๆ เพราะ พบว่าผู้ชายหนึ่งในสิบเป็น โรคอ้วน และผู้หญิงเกือบหนึ่งในเจ็ดก็เป็น สถานการณ์ของโรคอ้วนย่อมต้องเพิ่มสูงขึ้น ในเกือบ 5 ปีแล้วแน่นอนว่า ต้องแข่งขันกับเวลา ทำให้สนใจในเรื่องของอาหารการกินน้อยลง รู้ตัว อีกทีก็เป็นโรคอ้วนโดยไม่ตั้งใจเสียแล้ว

อย่างที่เรารู้ว่าโรคอ้วนนั้นทำให้เรามีปริมาณไขมัน ในร่างกายมากเกินไป แต่ความน่ากลัวของโรคอ้วนคือ เป็นพาหะนำพาโรคร้ายอื่นๆ ตามมาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และโรคอื่นๆ อีกมาก ซึ่งโรคเหล่านี้ทำให้คนเราตายก่อนวัยอันควร ถึง 3 ล้านคนต่อปี นั่นถือว่าเป็นตัวเลขที่น่ากลัวอย่างมาก ในปีหนึ่งรัฐบาลของประเทศต่างๆ ต้องสูญเสียเงินไปเป็นจำนวน หลายหมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อดูแลรักษาประชากรของตนเองไม่ให้ล้มป่วย จากสาเหตุของโรคอ้วนนี้
ถือว่าเป็นวิกฤตทางอาหารการกินที่บรรดาประเทศต่างๆ เริ่มเห็นถึง ความน่ากลัว โดยพยายามที่จะแก้ไขและป้องกันด้วยวิธีการต่างๆ กันไป โดยเน้นไปที่มาตรการการป้องกันและดำเนินการทางระบบดูแลสุขภาพ ของตน มีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือ ปัญหาโรคอ้วนนั้นส่วนมากจะเกิดใน ประเทศที่ร่ำรวยอย่างสหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ อังกฤษ และออสเตรเลีย รวมไปถึงประเทศกำลังพัฒนาหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศ แถบตะวันออกกลาง โดยประเทศเหล่านี้ล้วนมีประชากรที่มีน้ำหนักเกิน มาตรฐานพุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากลัว
โซเนีย อานันด์ แม็คมาสเตอร์ สองผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย ประเทศแคนาดา ได้บอกเน้นยำาเรื่อง ของโรคอ้วนว่า มีน้ำหนักเกินนั้นส่งผลต่อผู้ใหญ่ถึงหนึ่งในสาม ส่วนโรคอ้วนนั้นส่งผล ต่อผู้ใหญ่ถึงหนึ่งในเก้าทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอพบว่าในปีพ.ศ. 2523 ผู้ชายเป็นโรคอ้วนถึง 4.8 เปอร์เซ็นต์ แต่พอมาปีพ.ศ. 2551 จำนวนผู้ชาย เป็นโรคอ้วนสูงขึ้นถึง 9.8 ในผู้หญิงนั้นเพิ่มขึ้นจากเดิม 7.9 เปอร์เซ็นต์เป็น 13.8 เปอร์เซ็นต์นั่นก็ เกือบหนึ่งเท่าตัว นับว่าเป็นอัตราที่น่าตกใจทีเดียว
สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ ในทวีปเอเชียก็ใช่ว่าจะ หลบหนีปัญหาโรคอ้วนได้ ซึ่งหากย้อนไปในยุคปู่ย่าตายายเรา โรคอ้วน นั้นเป็นโรคที่หาได้ยากยิ่ง เพราะพื้นเพอาหารการกินของคนไทยเรานั้นจะ เน้นเรื่องของพืชผักผลไม้เป็นสำคัญ พวกแป้ง เนื้อ ไขมันนั้นน้อยมาก นั่นจึงทําให้ไม่มีใครเป็นโรคอ้วนมากนัก

แต่พอมาถึงยุคปัจจุบันที่หันไปทางซ้ายก็อาหารมัน หันไปทางขวาก็ อาหารแป้ง ผักผลไม้ก็น้อย ออกกำลังก็นานทีปีหน เรียกได้ว่าเป็นวิถีชีวิต ที่เหมาะสำหรับการเป็นโรคอ้วนอย่างยิ่ง นั่นจึงไม่แปลกที่คนไทยยุคใหม่นั้นเป็นโรคอ้วนกันมาก ครั้งหนึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยได้ออกมา เผยว่า คนไทยที่อายุ 11 ปีขึ้นไปนั้นมีมากกว่า 38 ล้านคนที่มีพฤติกรรม ไม่ออกกำลังกาย ทำให้เกิดเป็นโรคอ้วนตามมา ซึ่งนั่นทำให้ประเทศไทย ติดอันดับ 5 ของประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกที่ประชากรเป็นโรคอ้วนทันที รองจากประเทศออสเตรเลีย มองโกเลีย วานูอาตู และฮ่องกง
นันจึงเป็นที่มาของการรณรงค์เริ่มให้มีการออกกำลังกายในแต่ละ หมู่บ้าน เพราะเห็นว่านี่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศนี้ในอนาคต แน่นอน นอกจากนั้นการที่ร่างกายแข็งแรงยังช่วยลดโรคร้ายอีกสารพัดโรคได้อีกต่างหาก รวมถึงโรคอ้วน
ในการสำรวจครั้งนั้นยังพบว่าคนที่มีอายุตั้งแต่ 11 ปีขึ้นไปที่ไม่ออกกำลังกายมีประมาณ 38 ล้านคน จากจำนวนคนประมาณ 55 ล้านคน เมื่อนำมาเปรียบเทียบสัดส่วนแล้วจะเห็นว่าเกินครึ่งไปมาก เหลือผู้ที่ ออกกำลังกายในวัยนี้เพียง 17 ล้านคน คิดเป็นประมาณร้อยละ 30 เท่านั้น หมายความว่าคนในวัยนี้ 10 คนมีคนออกกำลังเพียง 3 คน เท่านั้น ส่วนคนที่เหลืออีก 7 คนไม่มีการออกกำลังกายแต่อย่างใด นั่นทำให้เห็นว่าปัญหาสุขภาพนี้ใหญ่และสำคัญขนาดไหน
แต่เดิมนั้นคนไทยและอีกหลายๆ ประเทศต่างเชื่อว่าคนที่มีรูปร่าง ท้วมหรืออ้วนจะถือว่าเป็นผู้ร่ำรวยมีอันจะกิน บางประเทศมีความพยายาม เพิ่มไขมันภายในตัวโดยการกินอาหารที่มีไขมันสูง บางแห่งก็ถึงกับฉีด ไขมันเข้าไปในบริเวณพุงก็มี ซึ่งความเชื่อเหล่านั้นล้วนผิดมหันต์ เมื่อไขมันเกิดสะสมในร่างกายมากเกินไป สุดท้ายก็ทำให้ขาดความสมดุล และเป็นเหตุให้เกิดสารพัดโรคตามมา
ทุกวันนี้หลังจากที่โรคอ้วนได้บ่อนทำลายสุขภาพ ของคนเรามามาก เหลือเกิน ทำให้มีการให้ความสนใจแก้ไขและป้องกันอย่างจริงจัง ซึ่งก่อน ที่เราจะไปถึงขั้นนั้น มาทำความรู้จักกันก่อนว่าโรคอ้วนแท้ที่จริง นั้นคืออะไรกันแน่

คำว่า “โรคอ้วน” (Obesity) เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของ น้ำหนักตัวที่มีเกินกว่ามาตรฐาน สาเหตุนั้นก็มาจากการที่ร่างกายมีภาวะ ไขมันสะสมตามอวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกายมากเกินกว่าปกติ ซึ่งอาจ จะทำให้เกิดโรคร้ายอื่นๆ ตามมาได้อีก โรคอ้วนสามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 ชนิด ด้วยกันดังต่อไป
1 อ้วนแบบลูกแอปเปิล (Apple-shape Obesity) หรือที่หลายๆ คน เรียกว่า “อ้วนลงพุง” นั่นเอง (Central Obesity) คนที่อ้วนแบบนี้จะมี ลักษณะมีรอบเอวใหญ่กว่ารอบสะโพก สาเหตุก็เพราะว่ามีไขมันสะสม มากในช่องท้องรวมไปถึงอวัยวะภายใน ซึ่งไขมันที่อยู่ในอวัยวะภายในนี้เองที่จะเป็นตัวการที่ก่อให้เกิด สารพัดโรคแทรกซ้อนขึ้นมา ไม่ว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคความดัน โลหิตสูง โรคเบาหวาน และอีกมากมาย
2 อ้วนแบบลูกแพร์ (Pear-shape Obesity) หรือที่หลาย ๆ คน เรียกว่า “อ้วนสะโพกใหญ่” นี่ก็เป็นการอ้วนอีกลักษณะหนึ่งที่พบมากใน ผู้หญิง โดยผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เป็นเหยื่อของโรคอ้วนแบบนี้จะเกิดมาจาก การที่มีไขมันสะสมอยู่มากบริเวณสะโพกและน่อง คนที่อ้วนลักษณะนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือมีโอกาสที่จะเกิดโรคแทรกน้อยกว่าการอ้วนแบบอื่น ข้อเสียคือยากต่อการลด น้ำหนัก หากเทียบกับการอ้วนแบบที่เหลือ 3 อ้วนทั้งตัว (Generalized Obesity) คนที่อ้วนในลักษณะนี้จะเป็น การอ้วนที่เกิดจากการสะสมไขมันทั่วตัว เป็นคนที่มีไขมันสูงกว่าระดับปกติที่ร่างกายพึงจะมี แต่แตกต่างจากการอ้วนแบบอื่นๆ ตรงที่ไขมัน เหล่านั้นมีการสะสมแบบกระจายทั่วทั้งตัว ทำให้เกิดการลงพุงและ สะโพกขยายใหญ่
เมื่อน้ำหนักตัวมาก จะนำมาซึ่งโรคแทรกซ้อนต่างๆ ที่เกิดตามข้อ อย่างปวดข้อ ข้อเสื่อม ปวดหลัง นอกจากนั้นการที่ไขมันสะสมมาก ยังทำให้หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย การทำงานของระบบหายใจเกิด ความผิดปกติ
การอ้วนทั้ง 3 ลักษณะนี้ถือว่าการอ้วนแบบทั้งตัวเป็นการอ้วน ที่อันตรายที่สุด เพราะแสดงให้เห็นว่ามีไขมันสะสมในร่างกายเกินกว่า ปกติไปมากกว่าแบบอื่นๆ เท่านั้นยังไม่พอยังเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคอีก สารพัดอย่าง ซึ่งแน่นอนว่ามากกว่าการอ้วนแบบอื่นๆ เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามเชื่อแน่ว่าหากเป็นไปได้ก็คงไม่มีใครอยากที่จะอ้วน ไม่ว่ารูปแบบไหนทั้งนั้น ซึ่งกว่าที่บางคนจะรู้ตัวว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในคนอ้วนของประเทศนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว นั่นจึงเป็นคำถามตามมาว่า อ้วน หรือไม่อ้วนนั้นเอาอะไรมาวัดกันแน่!!!