ความเป็นมาของกล้วย ชนิดของ กล้วย ต่างๆ

กล้วย คนไทยทุกคนรู้จักกล้วยมาแต่เล็กแต่น้อย ตอนเราเป็นทารก คุณพ่อคุณแม่ก็ให้เรารับประทานกล้วยบด โตขึ้นมาก็รู้จักในฐานะที่เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ เหลือหลาย ของว่าง ของหวาน ของคาว หนำซ้ำยังสามารถรักษาโรคได้อีกด้วย กล้วยมีประโยชน์ ตลอดทั้งลำต้น เรียกว่าสารพัดคุ้มจริง ๆ

ความเป็นมาของกล้วย

กล้วย เป็นสิ่งที่คนไทยเราคุ้นเคยกันดี คุ้นเคยกันมาแต่อ้อน แต่ออกทีเดียว คนไทยสมัยก่อนจะใช้กล้วยบดกับข้าวป้อนทารก แม้เดี๋ยวนี้ในแถบชนบทก็เป็นอย่างนั้น กระผมเองเป็นคนบ้านนอก ที่บ้านมีสวนกล้วย (แต่เขาเรียกว่า ป่ากล้วย) จึงรู้จักกล้วยและกินกล้วยมาตั้งแต่เล็กจนโต แถวบ้านแต่ละบ้านมักจะปลูกกล้วยไว้กิน บ้านใคร ไม่มีกล้วยถือว่าเชยแหลกทีเดียว เพราะใครๆเขาก็มีกันทั้งนั้น แต่เดี๋ยวนี้ แถวๆบ้านชักจะละเลยกล้วยกันไปเยอะ กลับบ้าน ทีไรจึงต้องคอยกระตุ้นเร่งเร้าให้หันมาสนใจปลูกและแสวงหามากินกัน

อย่ามองเห็นว่ากล้วยเป็นของกล้วยๆ จึงไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ใครไม่ใส่ใจกล้วยก็เท่ากับมองข้ามความมีสุขภาพที่ดีของตนไป กล้วยนี่แหละทำให้มีสุขภาพดี คนโบร่ำโบราณของไทยเราอยู่คู่ กับกล้วยมาตลอด ได้ใช้ประโยชน์จากกล้วยตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะกล้วย มีประโยชน์มหาศาล นำมากินมาใช้สารพัด
กล้วยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานนมแล้ว อาจมีมาก่อนพุทธกาลด้วยซ้ำ เป็นที่รู้กันทั่วโลก ที่สำคัญก็คือ ในประเทศอินเดียได้มีการพูดถึงกล้วยมาตั้งแต่ 600 ปี ก่อนคริสต์กาลประเทศใหญ่ๆหลายประเทศก็มีการพูดถึงกล้วยกัน เมื่อพ.ศ. 743 ต่อมาก็เป็นที่รู้จักแพร่หลายกันในยุโรปและในส่วนอื่นๆของโลก อีกหลายแห่ง

ประเทศไทยมีการปลูกกล้วยกันมานานนม มาตื่นตัวกันมาก ในราวปี พ.ศ. 2507 หลังจากที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้เบิกตลาดให้กับกล้วยหอม ไทย ตอนแรกๆอาจเป็นกล้วยป่า แล้วค่อยๆวิวัฒนาการ หรือนำกล้วยอื่นๆ มาปลูกกันแพร่หลาย จนปัจจุบันมีกล้วยมากมายหลายชนิดในประเทศของเรา ปัจจุบันเรามีกล้วยหลายพันธุ์ปลูกไว้บริโภคเองในประเทศและส่งออกขายต่างประเทศ
กล้วย ในภาษาไทยเป็นชื่อเรียกพรรณไม้พวกหนึ่ง มีหลายชนิด ด้วยกัน เห็นจะเหมือนกับคำ “ปีซัง” ของมลายูและ “เกงเจียว” ในภาษาจีน ซึ่งเป็นคำกลางใช้ทั่วไป เว้นแต่จะมีคำผสมมาประกอบเข้า ทำให้เห็น ลักษณะเด่นขึ้น เช่น กล้วยมีกลิ่นหอม เป็นกล้วยหอม แต่บังเอิญมีทั้งสีทองและสีเขียว จึงได้ชื่อใหม่ กลายเป็นกล้วยหอมทอง และกล้วยหอม เขียว เป็นต้น สำหรับคำ “ปิซัง” ก็อย่างเดียวกัน เช่น “ปิซัง มาศ” (ปิซัง = กล้วย, มาศ = ทอง) คือกล้วยทอง หรือกล้วยไข่ masak hijau (masak= สุก, hijau = เขียว) คือกล้วยสุกเขียว หรือกล้วยหอมเขียว

ส่วนคำในภาษาอังกฤษที่ใช้เรียกกล้วยนั้น มีอยู่ 2 คำ คือ ba- nana และ plantain คำ plantain มาจากคำสแปนิช plantano” และคำ banana เป็นคำกินอา ซึ่งชาวโปรตุเกสนำไปพร้อมกับผล (ไม้) นั้น ทั้งสองคำนี้ในชั้นแรก คงคลุมผล (กล้วย) ของ Musa ทั้งหมด และ ดูเหมือนในภาษาอังกฤษนี้เองที่นำมาไว้เคียงกัน แต่ใช้แตกต่างกันอยู่บ้าง ในบางแห่ง โดยถือเอาลักษณะของเนื้อในผลเป็นเกณฑ์

ชนิดของกล้วยต่างๆ

กล้วยมีมากมายหลายชนิด ที่มีปลูกในประเทศไทย มีดังต่อไปนี้

  1. กล้วยกุ้งเขียว (เกิดจากกล้วยนาก แพร่เรียกกล้วยหอมทอง)
  2. กล้วยขม (ภาคใต้)
  3. กล้วยขมนาก (ภาคใต้)
  4. กล้วยไข่ (กำแพงเพชร, สุรินทร์)
  5. กล้วยไข่ทองร่วง (นครศรีธรรมราช)
  6. กล้วยไข่บอง (นครราชสีมาเรียกกล้วยไข่พระตะบอง)
  7. กล้วยไข่โบราณ (ตราด)
  8. กล้วยเงิน (สงขลา)
  9. กล้วยดอกไม้ พวกเดียวกับเสวยหอมทอง
  10. กล้วยตานี (มีทั่วประเทศ)
  11. กล้วยทองกาบคำ (ภาคใต้)
  12. กล้วยทองเดช (สงขลา)
  13. กล้วยทิพย์ (เชียงรายเรียกกล้วยทิพย์คุ้ม)
  14. กล้วยนมสาว (ภาคใต้)
  15. กล้วยนมหมี (อ่างทองเรียกกล้วยแหกคุก)
  16. กล้วยบัว (ภาคเหนือ)
  17. กล้วยปลวกนา (ภาคอีสาน)
  18. กล้วยพญา (สงขลา)
  19. กล้วยร้อยหวี
  20. กล้วยลังกา (พัทลุงเรียกกล้วยจีน)

ในบรรดากล้วยทั้งหลายที่กล่าวมานั้น กล้วยที่นิยมปลูกกันมาก และเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในประเทศไทยมีไม่มากนัก ได้แก่

1 กล้วยน้ำว้า

มีปลูกกันมากทั่วทุกภาคของประเทศไทย เพราะ เป็นกล้วยที่ทนทานในทุกสภาพดินฟ้าอากาศได้ดีกว่ากล้วยพันธุ์อื่นๆ คนไทยนิยมปลูกในสวนหลังบ้าน ด้วยความแพร่หลายของกล้วยพันธุ์นี้จึงมีชื่อเรียกต่างกันไป ตามท้องถิ่น อย่างเช่น ภาคเหนือจะเรียกว่า กล้วยใต้ คนจันทบุรีเรียกว่า กล้วยมะลิอ่อง คนอุบลเรียก กล้วยตานีอ่อง ลำต้นของกล้วยน้ำว้าจะมีความสูงไม่เกิน 3.5 เมตร ก้านใบมีร่อง ค่อนข้างแคบ ก้านช่อดอกไม่มีขน เครือหนึ่งมี 8-10 หวี หวีหนึ่งมี 13-16 ผล ผลและเปลือกหนากว่ากล้วยไข่ แต่ความยาวใกล้เคียงกับกล้วยไข่ เนื้อกล้วยสีขาว แกนกลางเรียกว่าไส้กลาง มีสีเหลือง ขาว หรือชมพู ซึ่ง ทำให้กล้วยแบ่งเป็น กล้วยน้ำว้าแดง กล้วยน้ำว้าเหลือง กล้วยน้ำว้าขาว กล้วยน้ำว้ามีประโยชน์มาก ใช้เป็นอาหารของเด็กอ่อน เด็กทารก วัย 3 เดือน ทุกคนต้องผ่านการกินกล้วยน้ำว้าครูดมาแล้วทั้งสิ้น นอกจาก เป็นอาหารของทารกแล้วยังนิยมนำมาบริโภคสด และทำขนมอีกด้วย

2 กล้วยไข่

มีปลูกกันมากเหมือนกัน มากที่สุดก็ที่จังหวัด กำแพงเพชร เป็นกล้วยที่ทนต่อโรคตายพรายและโรคใบจุด กล้วยไข่มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กล้วยกระ – เมตร กาบกล้วยด้านในมีสีเขียว อมเหลือง โคนก้านใบมีปีกสีชมพู ก้านช่อดอกมีขนอ่อน ใบประดับรูปไข่ เครือหนึ่งมีประมาณ 6-7 หวี หวีหนึ่งมีประมาณ 12-14 ผล ลักษณะ ของผลค่อนข้างเล็ก เวลาสุกจะมีสีเหลืองทอง กล้วยไข่ที่อร่อยและมี ชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ กล้วยไข่กำแพงเพชร นอกจากกินเล่นแล้ว กล้วย” จะกินกล้วย ยาสารท กล้วยไข่ยังเป็นพันธุ์กล้วยที่นำมาประกอบพิธีเดือนสิบ หรือสารทไทย

3 กล้วยหอมทอง

ปัจจุบันนิยมปลูกกันมาก มีการส่งเสริม กันทั่วไป กำลังเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่มีข้อเสียคือไม่ทนทานต่อโรคตายพราย และโรคใบจุด กล้วยหอมจะมีอยู่หลายพันธุ์ ทั้งกล้วยหอมเขียว กล้วยหอม จันทน์ กล้วยหอมเขียวค่อม แต่ที่นิยมมากที่สุดคือ กล้วยหอมทอง เพราะว่ามีกลิ่นหอม รสหวาน กล้วยหอมทองจะมีลำต้นสูงประมาณ 3.5 เมตร เครือหนึ่งจะมี 5-6 หวี หวีหนึ่งมีประมาณ 10-15 ผล ปลายผลจะมีจุกยื่นออกมาให้เห็น ได้ชัดเจน เปลือกบาง เมื่อผลกล้วยสุก จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง แหล่งปลูกส่วนใหญ่จะอยู่แถบภาคกลาง โดยเฉพาะจังหวัดแถบปทุมธานี และรอบๆเขตปริมณฑล

4 กล้วยเล็บมือนาง

เดี๋ยวนี้ปลูกและขายกันทั่วไปเหมือนกัน ราคาดีด้วย กล้วย กองถิ่นเรียกว่า กล้วยข้าว กล้วยเล็บมือ กล้วยทองดอกหมากลำต้นมีความสูงไม่เกิน 2.5 เมตร กาบลำต้นด้านนอกสีชมพู อมแดง เครือหนึ่งมี 7-8 หวี หวีหนึ่งมีประมาณ 15-18 ผล ผลเรียวเล็ก รูปโค้งงอ เปลือกหนา เมื่อสุกสีกล้วยจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง รสชาติ จะคล้ายกล้วยไข่แต่เนื้อน้อยกว่า มีปลูกมากแถบภาคใต้ โดยเฉพาะ จังหวัดชุมพร

5 กล้วยหักมุก

(กล้วยส้ม) กล้วยหักมุกมีอยู่ 2 ชนิด ชนิด ที่มีนวลกับไม่มีนวล มีลำต้นสูง 3-3.5 เมตร กาบลำต้นด้านนอกมีกระดำ บ้างเล็กน้อย มีนวลมาก เครือหนึ่งมีประมาณ 7 หวี หวีหนึ่งมี 12-16 ผล ผลใหญ่เวลาสุกแล้วจะมีรสฝาด จึงต้องนำไปเผาหรือฉาบจึงจะอร่อย

ดูเรื่อง สุขภาพที่คุณอาจยังไม่รู้